มองบ้าน…ผ่านวันเวลา
โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีชื่อเดิมว่า “โรงพยาบาลตาก” ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองตาก หลักกิโลเมตรที่ 420 เลขที่ 16/2 ถนนพหลโยธิน ตำบลระแหง อำเภอเมือง จังหวัดตาก มีพื้นที่ขนาด 30 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา และขึ้นทะเบียนเป็นราชพัสดุ เลขที่ 23793
ทิศเหนือ ติดต่อ ถนนซอยวัดมณีบรรพตวรวิหาร
ทิศใต้ ติดต่อ ถนนท่าเรือ
ทิศตะวันออก ติดต่อ ถนนพหลโยธิน
ทิศตะวันตก ติดต่อ ที่ดินเอกชน
ในปี พ.ศ.2482 นายหมัง สายชุมอินทร์ ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎร์จังหวัดตาก ในขณะนั้น มีความคิดริเริ่มที่จะให้มีโรงพยาบาลขึ้นในจังหวัดตาก และทางกรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เห็นชอบในหลักการ และให้หาที่ดินไว้เพื่อดำเนินการ เริ่มต้นจึงได้รับบริจาคที่ดินจากนายหมัง สายชุ่มอินทร์ จำนวน 12 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา และจากพระครูรัตนโมลี เจ้าคณะจังหวัดตากในขณะนั้น จำนวน 6 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ นายหมัง สายชุมอินทร์ จึงได้บริจาคเงินซื้อที่ดินอีกจำนวนหนึ่งจนรวมได้ทั้งสิ้น 55 ไร่ ซึ่งต่อมาถนนพหลโยธินได้ตัดผ่านที่ดินทางด้านหน้าของโรงพยาบาล จึงทำให้พื้นที่ลดลงคงเหลือพื้นที่เพียง 30 ไร่เศษ เท่าที่มีในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ.2484 กองโรงพยาบาลภูมิภาค กรมสาธารณสุข ได้อนุมัติเงินก่อสร้างโรงพยาบาลจำนวน 48,125 บาท (สี่หมื่นแปดพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทถ้วน) ประกอบด้วย ตึกอำนวยการ 1 หลัง เรือนคนไข้สามัญขนาด 25 เตียง 1 หลัง บ้านพักแพทย์ 1 หลัง บ้านพักพยาบาล 3 หลัง โรงเก็บศพ 1 หลัง โดยได้ลงมือก่อสร้าง เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกันนั้นเอง ซึ่งในขณะนั้นการก่อสร้างมีความล่าช้าเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมามีผู้บริจาคเงินสร้างเรือนไข้พิเศษขนาด 5 เตียง 1 หลัง และมีผู้บริจาควัสดุ ครุภัณฑ์ต่างๆ อีกหลายราย ประกอบกับได้รับอนุมัติเงินสร้างหอถังเก็บน้ำฝนเพิ่มเติม จึงสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2487 โดยมีข้าหลวงประจำจังหวัด (หลวงสกล ผดุงเขตต์) เป็นประธาน และมีนายแพทย์ยรรยงค์ เลาหะจินดา ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาล รวมระยะเวลาการก่อสร้าง 3 ปี
เรือนคนไข้สามัญหลังแรก ปี พ.ศ.2484
ตึกอำนวยการหลังแรก (เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2485 – สิงหาคม พ.ศ.2502)
โรงพยาบาลตากในขณะนั้น สามารถเปิดให้บริการแก่ประชาชนในจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียง คือ กำแพงเพชร สุโขทัย ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีโรงพยาบาลประจำจังหวัด รวมถึงอำเภอเถิน จังหวัดลำปางด้วย จึงทำให้ต้องมีการขยายและปรับปรุงอาคารเรือนไข้ให้เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของประชาชนผู้มารับบริการ ในปี พ.ศ.2502 ได้ต่อเติมตึกอำนวยการเป็นสองชั้นพร้อมทั้งขยายให้กว้างขวางขึ้น โดยใช้เงินงบประมาณและเงินบริจาค เป็นเงินประมาณ 47,000 บาท (สี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ขณะนั้นโรงพยาบาลสามารถรับผู้ป่วยได้ 100 เตียง
ตึกอำนวยการหลังที่สอง (ปี พ.ศ.2502 – พ.ศ.2527)
โรงพยาบาลตาก…มองจากถนนพหลโยธินด้านหน้าโรงพยาบาล เมื่อปี พ.ศ.2510
ความทรงจำ….ในโอกาสเลี้ยงส่ง นพ.ธงชัย – คุณโอปอ เดชกำแหง ที่หน้าตึกอำนวยการ ราวปี พ.ศ.2504-2505
ส่วนหนึ่งของบุคลากรโรงพยาบาลตาก ในระยะบุกเบิก ประกอบด้วย
– นพ.ปรีชา ตันติเวสส ผู้อำนวยการฯ
(แถวล่าง ยืนกลาง)
– นพ.ธงชัย เดชกำแหง
(แถวล่าง ยืนขวา)
– นพ.ถนอม เหล่ารักพงศ์
(แถวล่าง ยืนซ้าย)
– คุณพิศวาส วงษ์เสรี(ตันติเวสส)
แถวบน ขวาสุด
– คุณสาลี่ สายเปีย (หล้อแหลม)
แถวบน ซ้ายสุด
บรรยากาศตึกอำนวยการในอดีต….ผ่านมุมมอง ต่างวันเวลา
นอกจากจะขยายตึกอำนวยการให้กว้างขวางขึ้นแล้ว ต่อมาโรงพยาบาลตากยังได้รับงบประมาณและ
เงินบริจาค เพื่อก่อสร้างอาคารสถานที่เพิ่มมากขึ้น ดังลำดับต่อไปนี้
พ.ศ.2509 – ทำการก่อสร้างบ้านพักพยาบาลขนาด 6 ห้อง 1 หลัง, ตึกเก็บศพ 1 หลัง ด้วยเงิน
งบประมาณ จำนวน 200,000 บาท
– บริษัท ป่าไม้จังหวัดตาก จำกัด บริจาคเงินก่อสร้างตึกศูนย์จ่ายกลาง 1 หลัง ด้วยเงิน
งบประมาณ 150,000 บาท
พ.ศ.2510 – ทำการก่อสร้างตึกสูติกรรม 1 หลัง , ตึกพยาธิวิทยา 1 หลัง ด้วยเงินงบประมาณ จำนวน
750,000 บาท และเงินบริจาค จำนวน 211,100 บาท
– ซื้อเครื่องปรับอากาศสำหรับตึกสูติกรรม 2 เครื่อง เป็นเงิน 20,000 บาท
ตึกพยาธิวิทยาเมื่อปี พ.ศ.2510-2535 ภายหลังปรับปรุงเป็นงานแพทย์แผนไทยฯ เมื่อปี พ.ศ.2545-2556
และต่อมารื้อถอนในปี พ.ศ.2556 เพื่อก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ 7 ชั้น
พ.ศ.2511 – ก่อสร้างบ้านพักชั้นโท 1 หลัง ด้วยเงินงบประมาณ 60,000 บาท
– ซ่อมแซมอาคารบำบัดรักษาและบ้านพักเจ้าหน้าที่ด้วยเงินบำรุงโรงพยาบาลประมาณ
100,000 บาท
พ.ศ.2512 – รื้อตึกบัวผัด ก่อสร้างตึกผ่าตัดใหม่ 1 หลัง,โรงครัวและโรงอาหาร 1 หลัง โรงซักฟอก 1
หลัง ด้วยเงินงบประมาณ เป็นเงิน 400,000 บาท
– สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล บริจาคเงินสมทบในการก่อสร้างตึกผ่าตัดและจัดซื้อ
เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เป็นเงิน 110,000 บาท
– ก่อสร้างโรงช่าง ซึ่งรวมทั้งช่างไม้ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ชั้นบนทำเป็นที่พักคนงาน 4
ห้อง ด้วยเงินบำรุง 60,000 บาท
ตึกผ่าตัดหลังแรก ก่อนปี พ.ศ.2512 หลังจากนั้นได้ใช้เป็นอาคารรับบริจาคโลหิตและคลังโลหิตต่อจนถึงปี พ.ศ.2528
ตึกผ่าตัดหลังที่สอง เมื่อปี พ.ศ.2512 – 2530 ต่อมาปรับปรุงเป็นงานห้องผู้ป่วยหนัก ระหว่างปี พ.ศ.2533 – 2541 ก่อนรื้อถอนเพื่อก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม เมื่อปี พ.ศ.2541
เรือนบัวผัด ธิยะใจ ปี
พ.ศ.2484 – พ.ศ.2512
(ภาพที่เห็นเป็นอาคารที่ได้รับการดัดแปลง
และตกแต่งใหม่แล้ว)
ตึกอ่ำ ธิยะใจ
(ปี พ.ศ.2500 – พ.ศ.2532)
พ.ศ.2513 – ก่อสร้างตึกคนไข้สามัญ ขนาด 50 เตียง 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง ด้วยเงินงบประมาณ
550,000 บาท
พ.ศ.2512-2516 – นพ.ปรีชา ตันติเวสส ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตาก ได้หารือกับนายอุดร ตันติสุนทร
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตากในขณะนั้น ให้ช่วยหางบประมาณจากรัฐบาลเพื่อ
ก่อสร้างตึกคนไข้พิเศษ นายอุดร ตันติสุนทร จึงได้ขอสนับสนุนเงินบริจาคจากสำนักงาน
สลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 1,450,000 บาท ร่วมกับเงินบริจาคจากสำนักงานเหล่า
กาชาดจังหวัดตาก จำนวน 70,000 บาท เงินบริจาคจากบริษัท ห้างร้าน ตลอดจน
ประชาชนชาวจังหวัดตากผู้มีจิตศรัทธาอีกส่วนหนึ่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,932,360 บาท
ก่อสร้างอาคาร ขนาด 33 เตียง 2 ชั้น 1 หลัง โดยใช้แบบของกองสุขาภิบาล กรมอนามัย
แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2516 ในสมัยที่ นพ.สนอง โกศาคาร ดำรงตำแหน่ง
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ และใช้ชื่อว่า “ตึกพิเศษสลาก”
ตึกพิเศษสลาก (ปี พ.ศ.2516 – ปี พ.ศ.2558)
ในปี พ.ศ. 2522 มูลนิธิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีความประสงค์จะสร้างโรงพยาบาลในจังหวัดตากอีกแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่กระทรวงสาธารณสุข มีความเห็นว่า ไม่ควรจัดสร้างขึ้น เพราะมีโรงพยาบาลตาก โรงพยาบาลแม่สอด และโรงพยาบาลบ้านตาก ซึ่งสามารถเปิดให้บริการประชาชนเพียงพอแล้ว จึงเสนอให้มูลนิธิฯ ปรับปรุงโรงพยาบาลตาก พร้อมทั้งยินดีให้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ตามวัตถุประสงค์ และทางมูลนิธิฯเห็นชอบด้วย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2522 โรงพยาบาลจึงได้เสนอโครงการปรับปรุงดังนี้
- สร้างตึกผู้ป่วยนอก 1 หลัง
- สร้างตึกอุบัติเหตุ 1 หลัง
- สร้างตึกผู้ป่วยขนาด 250 เตียง 1 หลัง
- จัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ที่จำเป็น
การก่อสร้างตึกอำนวยการหลังใหม่เมื่อปี พ.ศ.2527 แทนที่ตึกอำนวยการเดิม
มูลนิธิฯ ร่วมกับโรงพยาบาลได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยนอก เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 โดย ฯพณฯ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในสมัยนั้นและเป็นประธานคณะ กรรมการมูลนิธิฯ เป็นประธานประกอบพิธี พร้อมทั้งได้รับบริจาคเงินเพื่อการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกเป็นเงิน 3,332,676.50 บาท (สามล้านสามแสนสามหมื่นสองพันหกร้อยเจ็ดสิบหกบาทห้าสิบสตางค์) และก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2528 พร้อมกันนั้นยังได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อจาก “โรงพยาบาลตาก” เป็น “โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2528
ตึกอำนวยการ เมื่อปี พ.ศ.2528
โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อปี พ.ศ.2530
ทางด้านงานบริการรักษาพยาบาลแต่เดิมขณะเปิดโรงพยาบาลเมื่อปี พ.ศ.2487 มีจำนวนเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติงานน้อยมาก คือ แพทย์ 1 คน พยาบาล 4 คน คนงานบนตึก 3 คน คนงานสนาม 5 คน ไม่มีผู้ช่วยพยาบาล ต้องฝึกหัดคนงานประจำตึกแทน ส่วนพยาบาลต้องทำหน้าที่หลายอย่างตั้งแต่พยาบาลประจำการ พยาบาลดมยาจนกระทั่งเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตร คนงานในสมัยนั้นสามารถช่วยให้น้ำเกลือและฉีดยาได้ แพทย์ต้องทำหน้าที่ทันตแพทย์ในบางครั้ง จนต่อมามีการส่งพยาบาลไปศึกษาต่อทางด้านทันตนามัย และเริ่มมีเภสัชกรมาปฏิบัติงาน ควบคุมดูแลเกี่ยวกับการผลิตและจ่ายยา
พ.ศ.2526 โรงพยาบาลเริ่มมีแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรม และในปี พ.ศ.25427 มีนัก วิทยาศาสตร์การแพทย์ มาดูแลงานด้านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งในระยะนี้เริ่มมีการแยกแผนกชัดเจนขึ้นโดยแบ่งเป็น แผนกสูติ – นรีเวชกรรม แผนกศัลยกรรม แผนกอายุรกรรม และกุมารเวชกรรม
พ.ศ.2528 โรงพยาบาลเริ่มเปิดหน่วยงานห้องผู้ป่วยหนัก โดยปรับปรุงใช้สถานที่ห้องพิเศษตึกพิเศษสลากล่าง สามารถรับผู้ป่วยระยะวิกฤติได้ 6 เตียง พร้อมทั้งได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับช่วยชีวิตในระยะวิกฤติหลายชนิด เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้งานด้านการบริการรักษาพยาบาลก้าวหน้ายิ่งขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.2533 – 2541 จึงได้ย้ายงานห้องผู้ป่วยหนักไปอยู่ ณ ตึกผ่าตัดเก่า (หลังที่ 2) และเมื่อถูกรื้อถอนเพื่อก่อสร้างอาคารเภสัชกรรมในปี พ.ศ.2541 จึงย้ายงานห้องผู้ป่วยหนักกลับมาอยู่ ณ บริเวณตึกพิเศษสลากล่างเช่นเดิมโดยปรับปรุงขยายพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้น จนสามารถรับผู้ป่วยระยะวิกฤติเพิ่มเป็น 8 เตียง
พ.ศ.2528 – 2529 ได้ก่อสร้างตึกผ่าตัดใหม่ โดยใช้เงินบำรุงเป็นจำนวน 7 ล้าน 8 แสนบาท ประกอบ ด้วย ห้องผ่าตัด 4 ห้อง และชั้นบนจัดทำเป็นห้องสมุดและธนาคารเลือด สามารถให้บริการผู้ป่วยทางด้านศัลยกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2530
พ.ศ.2532 โรงพยาบาลได้รื้อตึกอ่ำธิยะใจ ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 เพื่อก่อสร้างตึกผู้ป่วย 4 ชั้น จำนวน 120 เตียง โดยใช้ทั้งเงินงบประมาณ เงินมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเงินบริจาค เป็นจำนวน 13 ล้านบาท ภายหลังก่อสร้างแล้วได้ตั้งชื่อว่า “อาคารรวมน้ำใจ” ซึ่งสามารถรับผู้ป่วยทั้งด้านอายุรกรรมและศัลยกรรม ซึ่งแยกเป็นหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย อายุรกรรมหญิง ศัลยกรรมชาย และศัลยกรรมหญิง โดยเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2534 เป็นต้นมา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2535
พ.ศ. 2536 มีการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เป็นอาคารขนาด 2 ชั้น โดยใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 12,000,000 บาท เพื่อตอบสนองการพัฒนางานบริการอุบัติเหตุและฉุกเฉินได้อย่างเต็มที่ โดยอาคารชั้นล่างเป็นห้องตรวจรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน ห้องสังเกตอาการ และห้องตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยา ส่วนชั้นบนเป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ธนาคารเลือด และสำนักงานแพทย์ และในปีเดียวกันนี้โรงพยาบาลได้ทำการก่อสร้างอาคารบ้านพักเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง โดยใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 970,000 บาท
ตึกสงฆ์อาพาธ ก่อนปี พ.ศ.2536 …. ในมุมเงียบสงบ สง่างาม (ก่อนรื้อถอนเพื่อก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน)
นับจากปี พ.ศ.2536 เป็นต้นมา โรงพยาบาลมีการพัฒนางานบริการเพิ่มมากขึ้นในหลายๆ ด้าน เพื่อให้ครอบคลุมระบบบริการสุขภาพมากขึ้น หน่วยงานสนับสนุนจึงต้องได้รับการปรับปรุงและพัฒนาตามไปด้วย ดังนั้นในปี พ.ศ.2537 จึงมีการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 3 ชั้น คือ “อาคารหน่วยจ่ายกลางและโรงซักฟอก” ด้วยเงินงบประมาณทั้งสิ้น 14,250,000 บาท โดยดัดแปลงพื้นที่ใต้ถุนอาคารเป็นที่จอดรถจักรยานยนต์ และที่ตั้งเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ 2 เครื่อง , ชั้น 2 เป็นหน่วยจ่ายกลาง และหน่วยซักฟอก ส่วนชั้น 3 เป็นหน่วยตัดเย็บ หน่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าผู้ป่วยและผ้าสำหรับใช้ภายในโรงพยาบาล เช่น ห้องผ่าตัด ห้องคลอด ฯลฯ แต่ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนสถานที่โดยงานซักฟอกทั้งหมดย้ายไปอยู่ที่ชั้นใต้ถุน ,ชั้น 2 เป็นหน่วยจ่ายกลาง ห้องเก็บเวชระเบียนผู้ป่วยใน และงานพัสดุ ,ชั้น 3 เป็นสำนักงานแพทย์ กลุ่มการพยาบาล ศูนย์คุณภาพ กลุ่มพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร เวชระเบียนผู้ป่วยใน หน่วยจัดเก็บรายได้ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม ส่วนชั้นดาดฟ้าเป็นที่ตากผ้าบางส่วน
ปี พ.ศ.2540 สร้างอาคารพักพยาบาลขนาด 20 ห้อง 3 ชั้น 1 หลัง โดยเงินนอกงบประมาณ จำนวน 4,398,000 บาท เพื่อให้พยาบาลและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลได้มีที่พัก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเพื่อใช้เองภายในโรงพยาบาล โดยสร้างโรงสูบน้ำเพื่อใช้สูบน้ำดิบจากแม่น้ำปิง ใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 120,000 บาท พร้อมกับสร้างหอถังเก็บน้ำขนาด 45 ลบ.เมตร เพื่อใช้บรรจุน้ำซึ่งใช้เงินงบประมาณ 380,000 บาท และถังกรองน้ำผิวดิน เพื่อใช้กรองน้ำดิบที่สูบขึ้นมากจากแม่น้ำโดยใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 1,600,000 บาท
ปี พ.ศ.2541 สร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 4 ชั้น 1 หลัง เพื่อใช้เป็นอาคารพักผู้ป่วยใน 90 เตียง และห้องคลอด เมื่อแล้วเสร็จตั้งชื่อว่า “อาคารเฉลิมพระเกียรติ” โดยใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 51,600,000 บาท ภายในอาคารแบ่งเป็น หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม ศัลยกรรมกระดูกชาย สูติ– นรีเวชกรรม งานห้องคลอด งานฝากครรภ์และวางแผนครอบครัว โดยชั้นใต้ถุนได้ดัดแปลงยกสูงขึ้นจากพื้นเพื่อใช้เป็นที่จอดรถ และที่เก็บวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่ง
ในปัจจุบันนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นหน่วยงานแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก รวมทั้งหน่วยงานบริการสุขภาพชุมชน
อาคารรวมน้ำใจ (พ.ศ.2535)…ข้างไหล่เคียงบ่า อาคารเฉลิมพระเกียรติ (พ.ศ.2541)
ในปีเดียวกันนี้ ได้มีการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรมขนาด 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง แทนที่อาคารหลังเก่า ซึ่งใช้เป็นหน่วยงานห้องผู้ป่วยหนัก ด้วยเงินงบประมาณ 18,630,000 บาท นอกจากนี้ได้ก่อสร้างอาคารพักพยาบาลขนาด 32 ยูนิต 5 ชั้น จำนวน 1 หลัง ใช้เงินงบประมาณไปทั้งสิ้น 26,699,000 บาท
แนวตึกหญิงคู่ขนานตึกอำนวยการ
คั่นกลางด้วยทางเดินภายในโรงพยาบาล
(ก่อนรื้อถอนเพื่อก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ ในปี พ.ศ.2541)
ตึกชายจากมุมมองด้านหลัง
ตึกชาย…คู่เคียงตึกหญิง
นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2541 ยังได้ก่อสร้างเพื่อปรับปรุงหน่วยงานสนับสนุนอีกครั้งหนึ่ง คือ ปรับปรุงห้องควบคุมเตาเผาขยะซึ่งเดิมสร้างไว้ตั้งแต่ปี 2535 เพื่อใช้เก็บควบคุมและเผาขยะ โดยใช้งบประมาณ 2,680,000 บาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2541 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2542 แต่ต่อมาได้งดใช้เตาเผาขยะตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 เนื่องจากก่อมลพิษส่งผลกระทบต่อผู้พักอาศัยในบ้านพักเจ้าหน้าที่และโรงเรียนบริเวณใกล้เคียง
ปี พ.ศ.2542 โรงพยาบาลได้เปิดให้บริการหน่วยไตเทียม โดยปรับปรุงใช้พื้นที่ห้องคลอดเก่า สามารถให้บริการเครื่องไตเทียมที่ทันสมัยจำนวน 2 เครื่อง และมีพยาบาลที่ผ่านการอบรมเป็นพิเศษประจำหน่วย 2 ท่าน
ปี พ.ศ.2543 ก่อสร้างอาคารพักศพ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว ซึ่งกว้างขวางและเป็นสัดส่วนสวยงามมากขึ้น เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2543 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2543 โดยใช้เงินงบประมาณ 1,346,000 บาท
ปี พ.ศ. 2544 ก่อสร้างอาคารพักอาศัยเพิ่มเติมอีกจำนวน หลายหลังดังนี้
– อาคารพักอาศัย คอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ซึ่งได้รับเงินบริจาค จำนวน 279,066 บาท
จากคุณมารศรี ปานดี
– บ้านพักข้าราชการระดับ 7 – 8 จำนวน 2 หลัง เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น โดยใช้เงินงบประมาณ 1,000,000 บาท
เนื่องจากพื้นที่ของโรงพยาบาลที่มีอย่างจำกัด ทำให้แออัดคับแคบมากไม่สามารถขยายออกไปได้มากกว่านี้ ดังนั้นในปี พ.ศ.2546 โรงพยาบาลจึงดำเนินการขอใช้ที่ราชพัสดุ คือที่ดินบริเวณสนามบินเก่าบางส่วน มีเนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน 22 ตารางวา ณ ตำบลน้ำรึม อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลโดยมีถนนพหลโยธินคั่นกลาง เพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านพักและอาคารที่พักอาศัยสำหรับเจ้าหน้าที่ ตลอดจนก่อสร้างอาคารสนับสนุนบางส่วนในอนาคตต่อไป และได้มีการก่อสร้างอาคารบ้านพักเพิ่มมากขึ้นทั้งการก่อสร้างในบริเวณพื้นที่เดิมภายในโรงพยาบาล และบริเวณที่ดินราชพัสดุ เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนบุคลากรที่มีความจำเป็นต้องพักอาศัย หลายรายการดังนี้
ปี พ.ศ.2546 – บ้านพักข้าราชการระดับ 7-8 จำนวน 2 หลัง
ปี พ.ศ.2547 – บ้านพักข้าราชการระดับ 3-4 จำนวน 1 หลัง
- บ้านพักข้าราชการระดับ 7-8 จำนวน 8 หลัง
ปี พ.ศ.2548 – บ้านพักข้าราชการระดับ 7-8 จำนวน 4 หลัง
- อาคารพักพยาบาล 20 ห้อง จำนวน 1 หลัง
ปี พ.ศ.2556 – อาคารพักพยาบาล 32 หน่วย จำนวน 1 หลัง
ปี พ.ศ.2560 – ได้รับงบประมาณในการก่อสร้างอาคารพักแพทย์ พยาบาล เภสัชกรและ
ทันตแพทย์ 88 ยูนิตขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ
นอกจากอาคารในการให้บริการผู้ป่วยแล้ว ในปีงบประมาณ 2549 โรงพยาบาลได้รับจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียนห้องสมุด 3 ชั้น และอาคารหอพักแพทย์ 5 ชั้น วงเงิน 52,700,000.00 บาท (ห้าสิบสองล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาการก่อสร้าง 800 วัน นับจากวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2549 สิ้นสุดวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2551 แต่เนื่องจากผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดที่ได้ให้สัญญาไว้จึงทำให้ระยะเวลาในการส่งงานยืดออกไปอีก จนกระทั่งได้ผู้รับจ้างใหม่ซึ่งเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 สิ้นสุดวันที่ 5 กันยายน 2553 และได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย โดยมีการส่งมอบงานครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2553 เปิดใช้งานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2554
อาคารศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก
นายธงชัย ซึงถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข
เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารศูนย์แพทย์ศาสตร์ชั้นคลินิก โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2554
ในปีงบประมาณ พ.ศ.2556 – 2558 โรงพยาบาลได้รับงบประมาณจัดสรรจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 179,990,000 บาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) เพื่อก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 13,536 ตารางเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 750 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2556 แต่เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีอาคารสำหรับพระภิกษุอาพาธโดยเฉพาะ ทางมูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงดำเนินการจัดหาเงินบริจาค จำนวน 28,000,000 บาท เพื่อปรับปรุงอาคารชั้น 7 เป็นอาคารสำหรับพระภิกษุอาพาธ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในฐานะที่ทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชยาวนานที่สุดของประเทศไทยในขณะนั้น โดยได้ขอประทานชื่ออาคารดังกล่าวว่า “อาคาร 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช”
ในปี 2558 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย 60 ห้อง (6 ชั้น) ซึ่งเป็นอาคารที่ให้บริการผู้ป่วยพิเศษ โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 23 กรกฎาคม 2560 ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเตรียมเปิดให้บริการผู้ป่วยต่อไป
ปัจจุบันโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดตาก ขนาด 310 เตียง มีผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 1,229 ราย ผู้ป่วยในเฉลี่ยวันละ 210 ราย ผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินปีละ 11,250 ราย มีหน่วยงานที่สามารถให้บริการรักษาพยาบาลและดูแลผู้ป่วย ดังนี้
อาคารรวมน้ำใจ สามารถให้บริการผู้ป่วยในอายุรกรรมทั้งผู้ป่วยสามัญและพิเศษ และได้ปรับปรุงบริเวณชั้นที่ 1 และชั้นที่ 4 เป็นห้องตรวจผู้ป่วยนอกคลินิกเฉพาะโรค เนื่องจากมีการรื้อถอนอาคารผู้ป่วยนอกเดิม เพื่อก่อสร้างงานผู้ป่วยนอก 6 ชั้น ประกอบด้วย
ชั้นที่ 1 ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกศัลยกรรมกระดูก 4 ห้อง
ชั้นที่ 2 หอผู้ป่วยสามัญอายุรกรรมหญิง 35 เตียง ห้องพิเศษ 5 ห้อง
ชั้นที่ 3 หอผู้ป่วยสามัญอายุรกรรมชาย 35 เตียง ห้องพิเศษ 5 ห้อง
ชั้นที่ 4 ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกจักษุ 2 ห้อง ,ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนก
กุมารเวชกรรม 2 ห้อง ,ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกหู คอ จมูก 2 ห้อง
2. อาคารเฉลิมพระเกียรติ
ชั้นที่ 1 ห้องคลอด จำนวนเตียงรอคลอด 6 เตียง , เตียงคลอด 6 เตียง
ห้องตรวจผู้ป่วยนอกแผนกสูติ-นรีเวชกรรม 3 ห้อง , ห้องผ่าตัดตา 1 ห้อง
ชั้นที่ 2 หอผู้ป่วยสามัญสูติ-นรีเวชกรรม จำนวน 24 เตียง ห้องพิเศษ 6 ห้อง
ชั้นที่ 3 หอผู้ป่วยสามัญกุมารเวชกรรม จำนวน 37 เตียง ห้องพิเศษ 3 ห้อง
ชั้นที่ 4 หอผู้ป่วยสามัญศัลยกรรมกระดูกชาย จำนวน 35 เตียง ห้องพิเศษ 5 ห้อง
3. หอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก สามารถให้บริการผู้ป่วยสามัญ 21 เตียง พิเศษ 4 เตียง
4. อาคาร 100 ปี สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สามารถให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ผู้ป่วยผ่าตัด ผู้ป่วยหนัก และผู้ป่วยใน ดังนี้
ชั้นที่ 1 ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน จำนวน 12 เตียง
ชั้นที่ 2 ห้องผ่าตัดใหญ่ จำนวน 8 ห้อง (เปิดให้บริการจริง 5 ห้อง)
ชั้นที่ 3 ห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) รวม 8 เตียง ,หออภิบาลทารกแรกเกิด (NICU) 8 เตียง
ชั้นที่ 4 หอผู้ป่วยในสามัญศัลยกรรมชาย 29 เตียง ห้องพิเศษ 6 ห้อง
ชั้นที่ 5 หอผู้ป่วยสามัญศัลยกรรมหญิง 39 เตียง
ชั้นที่ 6 ห้องพิเศษ 16 ห้อง (เปิดให้บริการจริง 8 ห้อง)
ชั้นที่ 7 หอผู้ป่วยสงฆ์อาพาธ (ห้องพิเศษ) 14 ห้อง
5. อาคารศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา ชั้นใต้ถุน เป็นห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกอายุรกรรม 2 ห้อง ,ห้อง ,ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู 2 ห้อง
6. หน่วยไตเทียม จำนวน 13 เตียง (18 เครื่อง)
7. แผนกทันตกรรม 9 ยูนิต
นอกจากนี้ในปีงบประมาณ 2560 โรงพยาบาลได้รับงบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก 6 ชั้น (มีชั้นใต้ดิน) ซึ่งเป็นอาคาร คสล. 6 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 18042 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2560 เพื่อทดแทนอาคารผู้ป่วยนอก 2 ชั้น ที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527 ไม่เพียงพอต่อการให้บริการในปัจจุบัน อีกทั้งสภาพอาคารบางส่วนชำรุดเสียหายต้องใช้งบประมาณในการซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากอาคารดังกล่าวแล้วเสร็จจะสามารถให้บริการผู้ป่วยนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขั้น